สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ‘ศิลปะการดำเนินชีวิตด้วยอานาปานสติภาวนา’ พ.ศ. 2563
หลายคนหลายมุมมอง
“ครั้งแรกที่มาก็ได้เรื่องการปรับใจตัวเองค่ะ คืออย่างที่บอกว่าตอนที่ตัดสินใจคือใจว้าวุ่นมาก เหมือนไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน ยังสับสนในตัวเอง แต่พอมาแล้วได้สติขึ้น ได้หยุดคิดได้มองตัวเอง ได้หันกลับมามองว่าระยะเวลา 3 วันนี้ ได้อยู่กับตัวเองแบบจริง ๆ แล้วได้คิดทบทวน ได้มองใจตัวเองว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไร แล้วก็ได้สติในเรื่องของการใช้ชีวิตค่ะ เพราะว่าจริง ๆ แล้วเป็นคนใจร้อนมาก พอมาที่นี่จึงได้สติว่าสิ่งที่มากระทบเรานั้นเราต้องย้อนกลับมาดูที่ตัวเองก่อนว่าเพราะอะไร แล้วค่อยไปมองว่าจะแก้อย่างไร ได้สติตรงนี้กลับไปเยอะมาก ๆ ค่ะ”
“จริง ๆ ชอบแทบจะทุกอย่างเลยของที่นี่ แต่ที่ชอบที่สุดก็คือการได้เจริญอานาปานสติทั้งนั่งนอนยืนเดินค่ะ ตั้งแต่นั่งสมาธิ เดินจงกรม มันเหมือนได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองจริง ๆ อยู่กับลมหายใจจริง ๆ อย่างที่คุณยาย (แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต) บอก แล้วจิตมันไม่ฟุ้งกระจาย เหมือนได้หยุดพักแล้วอยู่กับปัจจุบันขณะจริง ๆ ชอบฟังธรรมะของคุณยายด้วยเพราะนำไปใช้ได้จริง ๆ ทั้งในชีวิตประจำวันและชีวิตการทำงาน เอาไปใช้ได้ง่าย ๆ เลย บางคนอาจจะบอกว่าธรรมเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่สำหรับตัวเอง คิดว่าธรรมอยู่ในชีวิตเราอยู่แล้ว”
“พอได้เห็นบรรยากาศในเว็บไซต์หรือใน Facebook อย่างนี้มันดูน่าสนใจ”
“ชอบ เพราะรู้สึกเงียบสงบค่ะ แล้วก็ธรรมชาติเยอะ แล้วก็รู้สึกว่าธรรมชาติสอนอะไรเราได้มาก”
“สิ่งที่ได้ก็คือการได้ฝึกสติของตัวเอง อย่างแรกเลยคือการมีสติอยู่กับลมหายใจที่ท่านแม่ชีสอนเอาไว้ ก็คือรู้ตัวทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การรับประทาน หรือแม้แต่การหายใจ”
“มีสติมากขึ้นค่ะ แล้วก็รู้สึกถึงความใจเย็นที่ท่านสอน แล้วก็สอนให้รู้จักให้อภัย”
“ก่อนหน้านี้มีเรื่องเครียดจากที่บ้านอยู่แล้ว พ่อไม่สบาย พอมาอยู่ที่นี่ก็ได้เรียนรู้ว่าการดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างไร มีสติมากขึ้น อยู่กับปัจจุบันมากขึ้น ยอมรับความจริงในโลกได้มากขึ้นค่ะ”
“ชอบในถ้ำเกลือค่ะ รู้สึกสงบ แล้วก็ผ่อนคลายมากเลย”
“ชอบการเดินจงกรมค่ะ เพราะเราได้เพ่งสมาธิ แล้วก็รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่ากำลังเดินกำลังก้าว กำลังหายใจ กำลังทำอะไรอยู่ รู้จักระมัดระวังในการเดิน เพราะเราเดินด้วยเท้าเปล่า เราใช้สมาธิอย่างเต็มที่ค่ะ”
“เพิ่งจะเข้าคลาสอานาปานสติที่ผ่านมา แล้วก็ได้มีโอกาสกลับไปอยู่โลกภายนอก 2 วัน (กลับมาเพื่อเตรียมบวช) แต่มันทำให้เราได้กลับมองตัวเองว่าโลกภายในของเรามันเปลี่ยนไป ทั้ง ๆ ที่รอบนอกมันยังเหมือนเดิม แต่ทำไมรู้สึกมีความสุขมากขึ้น อยู่กับตัวเองมากขึ้น รู้สึกเบาค่ะ คุณยายจะบอกว่ามีสุขมันก็หมดไปได้ ส่วนมีทุกข์มันก็จะสามารถผ่านไปได้ด้วยเช่นเดียวกัน เพียงแค่เราต้องอยู่กับปัจจุบันขณะเท่านั้นเอง เพราะว่าปัจจุบันน่าจะเป็นเวลาที่เรามีความสุขที่สุดได้ แต่เรามักจะเอาตัวเองไปติดอยู่กับอนาคตหรืออดีต
“สาเหตุที่มาสมัครบวชคืออยากเข้าใจตัวเอง แล้วก็อยากเข้าใจธรรมชาติของชีวิต เพราะว่าตัวเองพยายามขวนขวายกับโลกภายนอกมาโดยตลอด แต่ลืมไปว่าโลกภายในของเราก็จำเป็นที่จะต้องศึกษาแล้วก็ดูแลด้วย พอได้กลับมาดูแล้ว มันมีอะไรที่ยังไม่รู้อีกเยอะเลยค่ะ ก็เป็นโอกาสอันดีที่ได้มาเป็นส่วนร่วมของเสถียรธรรมสถานในครั้งนี้ ถือว่าตัวเองโชคดีมาก ๆ ค่ะ”
“โดยพื้นฐานเป็นคนที่เวลานั่งสมาธิหรือสวดมนต์ก็จะรู้สึกดีรู้สึกสงบค่ะ พอเราได้ทำงานไประยะหนึ่ง มันก็จะมีอะไรที่วุ่นวายเข้ามาในหัวเต็มไปหมด ทำให้เราเปลี่ยนไป ใจร้อนขึ้นบ้าง แล้วก็หงุดหงิดง่าย อะไรที่เคยเป็น เคยรู้สึกว่าดี มันหายไป แค่การปฏิบัติธรรมไม่น่าพอนะคะ เพราะมองว่ามันจะช่วยในระยะหนึ่ง แต่มันต้องใช้เวลาสำหรับการฝึกฝนด้วย แล้วก็ขึ้นอยู่กับสถานที่และเหตุปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ถ้ามีสักครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้บวช มันเป็นสิ่งที่ดี แล้วถ้าเราเลือกที่จะทำดี ๆ ก็ลองมาดูค่ะ แล้วเราจะพบการเปลี่ยนแปลง”
สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสมัคร คลิก @sdssil8
#กิจกรรมศิลปะการพัฒนาชีวิตด้วยอานาปานสติภาวนา
#กิจกรรมบวชพุทธสาวิกาศีล10
#บวชชีปลงผม
Comments